เล่าขานตำนานดอยเต่า ๑๕ บ้านหนองอี่ปุ้ม
โดย ดร.วิทยา พัฒนเมธาดา
“บทความตำนานดอยเต่าที่ผมรวบรวมขึ้นมาเพื่อต้องการให้คนรุ่นหลังได้รับทราบว่า บรรพบุรุษของคนดอยเต่าในอดีต เป็นผู้ที่มีน้ำใจงดงามยอมเสียสละพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ อพยพมาอยู่ในพื้นที่อันแห้งแล้งบนดอยสูง แต่! คนดอยเต่าก็ยินดีและภูมิใจแม้จะไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควรก็ตาม”
สมัยก่อนสภาพเศรษฐกิจของเมืองดอยเต่า ไม่แตกต่างไปจากเมืองล้านนาทั่วไป มีการดำรงชีวิตด้วยการทำนา ปลูกข้าว หาปลา เลี้ยงครั่ง การทำนามีการลงแขกเหลือช่วยกัน( ประเพณีฮอมแฮง ) ในบางครั้งก็การจ้างงาน เพื่อนบ้านไม่มีข้าวกินก็หยิบยืมกันได้ เมื่อปลูกข้าวได้ก็นำมาใช้คืน ไม่มีดอกเบี้ย ในปี พ.ศ. 2500 ค่าจ้างแรงงานทั่วไปของคนดอยเต่า ตกวันละ 5 บาท ก๋วยเตี๋ยวชามละ 50 สตางค์ ข้าวสารราคาลิตรละ 2 บาท เงินที่ใช้ในสมัยนั้นจะใช้เงินใบละ 1 บาท , 5 บาท และ 10 บาท
สินค้าที่ขึ้นชื่อของเมืองดอยเต่าในสมัยนั้น คือ ข้าว ครั่ง หอม กระเทียม ปลาแห้ง ถั่วลิสง และอ้อย ใครที่เลี้ยงครั่งในสมัยนั้นจะเป็นผู้มีเงินร่ำรวย
บ้านหนองอี่ปุ้ม ( บ้านวังหม้อ)
บ้านหนองอี่ปุ้มหรือหนองนางปุ้ม ต. บ้านแอ่น อ. ฮอด จ. เชียงใหม่ อยู่บริเวณบ้านวังลุงเก่า การที่ได้ชื่อว่า บ้านอี่ปุ้มนั้น มีประวัติเล่าว่า มีหญิงคนหนึ่งได้มาหาปลาในหนองน้ำใหญ่ซึ่งอยู่บริเวณหมู่บ้าน ขณะที่หาปลาได้ นางปุ้มได้เอาปลาที่หาได้คาบไว้ในปากโดยไม่ได้เอาใส่ในข้อง และหาปลาต่อไปในขณะจับปลาเพลินอยู่นั้นบังเอิญปลาที่คาบไว้ดิ้นทะลักเข้าไปในปาก ลงสู่ท้องนางปุ้มหายใจไม่ออก และขาดใจตายในที่สุด หนองน้ำนั้นจึงได้ชื่อว่าหนองนางปุ้ม และหมู่บ้านก็มีชื่อตามชื่อหนองน้ำว่า บ้านหนองอี่ปุ้ม (หนองนางปุ้ม)
ในปี พ.ศ. 2507 ทางราชการให้ประชาชนในบริเวณนั้นย้ายออกจากเขตน้ำท่วม อันเนื่องมาจากการสร้างเขื่อนภูมิพลชาวบ้านจึงอพยพมาอยู่ที่ใหม่ คือบริเวณสุสานบ้างวังหม้อในปัจจุบัน ต่อมาหน่วยงานกรมประชาสงเคราะห์ได้เข้ามาจัดสรรที่อยู่ให้เป็นแปลงๆ เพื่อให้ประชาชนเข้าอยู่อาศัย
ในปี พ.ศ. 2509 ชาวบ้านและพระอธิการคำปวน พรหมปุญโญ (พระครูปัญญาพรหมคุณ อดีตเจ้าคณะอำเภอดอยเต่า) ได้ร่วมกันสร้างวัดขึ้นโดยมีกุฎิ 1 หลัง วิหารชั่วคราว 1 หลังเพื่อใช้ทำพิธีกรรมทางศาสนา และต่อมาบ้านหนองอี่ปุ้มได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นบ้านวังหม้อ
ปัจจุบันบ้านวังหม้อ ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ต.บ้านแอ่น อ.ดอยเต่า จ.เชียงใหม่ เดิมทีมีประชากรอยู่ประมาณ 60 กว่าหลังคาเรือน ปัจจุบันมีจำนวนหลังคาเรือนอยู่จำนวน 233 หลังคาเรือน ประชากรส่วนใหญ่มีอาชีพทางการเกษตร เช่น ปลูกข้าว ปลูกถั่ว สวนผลไม้ เช่นลำไย มะม่วง และมะนาว
ที่มาของชื่อวังหม้อมาจาก การที่พ่อค้าได้ล่องเรือนำหม้อมาขายโดยผ่านเส้นทางนี้ มีครั้งหนึ่งเรือของพ่อค้าขายหม้อมาล่มตรงบริเวณนี้ ต่อมาจึงเรียกบริเวณนี้ว่า “วังหม้อ” จนถึงทุกวันนี้
(สัมภาษณ์พระครูปัญญาพรหมคุณ เจ้าคณะอำเภอดอยเต่า จ. เชียงใหม่ วันที่ 28 กันยายน 2544 )